เทคโนโลยีชีวภาพเกษตรไทย ภาคเกษตรกรรมของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนและหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่นำมาซึ่งภัยแล้งและน้ำท่วม โรคระบาดพืชและสัตว์ที่รุนแรงขึ้น ดินเสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมีเกินความจำเป็น รวมถึงความต้องการอาหารที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในขณะที่ทรัพยากรธรรมชาติมีจำกัด การพึ่งพาวิธีการเกษตรแบบเดิมๆ เพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพออีกต่อไป “เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร (Agricultural Biotechnology)” คือคำตอบสำคัญที่จะเข้ามาปฏิวัติและยกระดับภาคเกษตรไทยให้ก้าวสู่ยุคใหม่ของประสิทธิภาพ ความยั่งยืน และความปลอดภัย เทคโนโลยีนี้ใช้ความรู้ด้านชีววิทยาในระดับโมเลกุลและเซลล์ เพื่อพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ที่มีคุณสมบัติดีขึ้น พัฒนาชีวภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร บทความนี้จะเจาะลึกถึงความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรในบริบทของประเทศไทย ประเภทและตัวอย่างของเทคโนโลยีชีวภาพที่นำมาใช้ ประโยชน์ที่ภาคเกษตรและสิ่งแวดล้อมจะได้รับ ความท้าทายในการนำมาประยุกต์ใช้จริง รวมถึงแนวโน้มและโอกาสในอนาคตเพื่อสร้างเกษตรกรรมไทยที่ยั่งยืน มั่นคง และเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมระดับโลก

ความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรในบริบทไทย
ทำไมชีวภาพคือทางออกของความท้าทายในฟาร์มไทย?
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตรมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อภาคเกษตรกรรมไทย ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้:
- รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: เทคโนโลยีชีวภาพช่วยในการพัฒนาพันธุ์พืชที่ ทนแล้ง ทนเค็ม ทนร้อน และ ทนต่อน้ำท่วม ได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในภาวะที่สภาพอากาศแปรปรวนรุนแรงขึ้น
- เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดต้นทุน: การพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ที่มีศักยภาพการผลิตสูงขึ้น ต้านทานโรคและแมลงได้ดีขึ้น หรือใช้น้ำและปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดการสูญเสียผลผลิต ลดการใช้สารเคมี และลดต้นทุนการผลิตของเกษตรกร
- ลดการใช้สารเคมีและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: การพัฒนาชีวภัณฑ์ เช่น ปุ๋ยชีวภาพ สารชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช หรือวัคซีนสัตว์ ช่วยลดการพึ่งพาสารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเกษตรกร ผู้บริโภค และสิ่งแวดล้อม
- สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าเกษตร: เทคโนโลยีชีวภาพสามารถพัฒนาพืชหรือสัตว์ให้มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น มีสารอาหารสูงขึ้น (Biofortification) มีอายุการเก็บรักษานานขึ้น หรือมีคุณสมบัติที่ใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้ ซึ่งเป็นการเพิ่มมูลค่าและโอกาสทางการตลาด
- แก้ไขปัญหาโรคระบาดในพืชและสัตว์: การพัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยโรคที่รวดเร็ว วัคซีน และพันธุ์พืช/สัตว์ต้านทานโรค เป็นเครื่องมือสำคัญในการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาด ซึ่งเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อผลผลิต
- สร้างความมั่นคงทางอาหารและโภชนาการ: การเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของพืชผล รวมถึงการพัฒนาอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง จะช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพที่ดีของประชากร
- ส่งเสริมเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy): เทคโนโลยีชีวภาพเป็นแกนหลักของเศรษฐกิจชีวภาพ ซึ่งเน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพอย่างยั่งยืนเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับโมเดล BCG ของประเทศไทย

ประเภทและตัวอย่างเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรที่ใช้ในไทย
หลากนวัตกรรมชีวภาพ เพื่อเกษตรยั่งยืน
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตรครอบคลุมสาขาวิชาและเทคนิคที่หลากหลาย โดยสามารถแบ่งเป็นประเภทหลักๆ และมีตัวอย่างที่กำลังมีการวิจัยและประยุกต์ใช้ในประเทศไทยดังนี้:
- 2.1 เทคโนโลยีการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ (Plant & Animal Breeding Technologies):
- เนื้อหา: การใช้เทคนิคทางพันธุกรรมขั้นสูงเพื่อคัดเลือกหรือปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ให้มีคุณสมบัติตามต้องการ เช่น การพัฒนาพันธุ์พืชต้านทานโรคและแมลงโดยธรรมชาติ พันธุ์ที่ทนต่อสภาพอากาศแปรปรวน ให้ผลผลิตสูง มีคุณภาพดี หรือมีคุณค่าทางโภชนาการเพิ่มขึ้น
- ตัวอย่างในไทย:
- การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืช: เพื่อขยายพันธุ์พืชเศรษฐกิจหายาก หรือพืชที่ติดโรค (เช่น กล้วย ไม้ดอกไม้ประดับ) ให้ได้จำนวนมากและปลอดโรค
- การใช้เครื่องหมายโมเลกุลช่วยในการคัดเลือก (Marker-Assisted Selection – MAS): เพื่อคัดเลือกพันธุ์ข้าว ข้าวโพด มันสำปะหลัง ที่มีคุณสมบัติเด่น เช่น ต้านทานโรค ทนแล้ง ได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ
- การวิจัยพัฒนาพืชดัดแปรพันธุกรรม (Genetically Modified Organisms – GMOs): แม้ปัจจุบันในประเทศไทยจะยังไม่มีการปลูกพืช GMO เพื่อการค้า แต่มีการวิจัยและพัฒนา เช่น มะละกอต้านทานโรคไวรัสใบด่าง หรือฝ้ายต้านทานแมลง
- เทคโนโลยีการตัดต่อยีน (Gene Editing/CRISPR): เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่มีศักยภาพสูงในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์อย่างแม่นยำและรวดเร็ว เพื่อให้ได้คุณสมบัติที่ต้องการ
- 2.2 เทคโนโลยีชีวภัณฑ์เพื่อการเกษตร (Biopesticides & Biofertilizers Technologies):
- เนื้อหา: การใช้สิ่งมีชีวิตหรือสารสกัดจากสิ่งมีชีวิตมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อทดแทนสารเคมีทางการเกษตร ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ
- ตัวอย่างในไทย:
- ชีวภัณฑ์ควบคุมศัตรูพืช: เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา (ควบคุมโรคพืช) เชื้อราเมธาไรเซียม (ควบคุมแมลงศัตรูพืช) เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส (ควบคุมหนอน) ที่ผลิตเพื่อใช้ในสวนผัก ผลไม้ และนาข้าว
- ปุ๋ยชีวภาพ: เช่น เชื้อไรโซเบียม (ตรึงไนโตรเจนในพืชตระกูลถั่ว) เชื้อไมคอร์ไรซา (เพิ่มการดูดซึมฟอสฟอรัส) ที่ช่วยเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินและลดการใช้ปุ๋ยเคมี
- สารสกัดชีวภาพ: จากพืชสมุนไพร หรือจุลินทรีย์ เพื่อใช้ไล่แมลง หรือยับยั้งเชื้อโรคพืช
- 2.3 เทคโนโลยีชีวภาพด้านการวินิจฉัยและเฝ้าระวังโรค (Diagnostic & Monitoring Technologies):
- เนื้อหา: การพัฒนาชุดทดสอบที่รวดเร็วและแม่นยำสำหรับการตรวจหาเชื้อโรคในพืช สัตว์ หรือในดินและน้ำ เพื่อการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด
- ตัวอย่างในไทย: ชุดตรวจแบบรวดเร็ว (Rapid Test Kit) สำหรับโรคใบด่างมันสำปะหลัง, ชุดตรวจหาเชื้อไวรัสในกุ้ง, ชุดตรวจสารตกค้างในผลผลิตทางการเกษตร โดยใช้เทคนิคทางภูมิคุ้มกันวิทยา หรือชีววิทยาระดับโมเลกุล
- 2.4 เทคโนโลยีชีวภาพเพื่อการจัดการของเสียและการเพิ่มมูลค่า (Waste Management & Value Addition):
- เนื้อหา: การใช้จุลินทรีย์หรือกระบวนการทางชีวภาพในการจัดการของเสียทางการเกษตร เช่น มูลสัตว์ วัสดุเหลือทิ้งจากพืชผล ให้เป็นปุ๋ยอินทรีย์ ก๊าซชีวภาพ หรือสารชีวภาพอื่นๆ ที่มีมูลค่าเพิ่ม
- ตัวอย่างในไทย: การผลิตก๊าซชีวภาพจากมูลสัตว์และน้ำเสียในฟาร์มปศุสัตว์, การผลิตปุ๋ยหมักจากฟางข้าวหรือเปลือกผลไม้, การใช้เอนไซม์หรือจุลินทรีย์ในการย่อยสลายของเสียในโรงงานแปรรูปเกษตร
- 2.5 เทคโนโลยีชีวภาพอาหารและโภชนาการ (Food & Nutrition Biotechnology):
- เนื้อหา: การใช้เทคโนโลยีชีวภาพในการปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการของอาหาร พัฒนาอาหารเสริม หรืออาหารฟังก์ชัน เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
- ตัวอย่างในไทย: การพัฒนาข้าวเสริมวิตามิน (Biofortified Rice), การพัฒนาโปรไบโอติกในอาหารสัตว์เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น, การใช้เอนไซม์ในการแปรรูปอาหารเพื่อเพิ่มคุณภาพและอายุการเก็บรักษา

ประโยชน์ของเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรต่อภาคเกษตรและสิ่งแวดล้อมไทย
การลงทุนวันนี้ เพื่ออนาคตที่ยั่งยืนและมั่นคง
การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพเกษตรอย่างแพร่หลายจะนำมาซึ่งประโยชน์ที่ครอบคลุมและยั่งยืนต่อประเทศไทย:
- เพิ่มความมั่นคงทางอาหารและรายได้ของเกษตรกร: ด้วยผลผลิตที่สูงขึ้น มีคุณภาพดีขึ้น และต้นทุนการผลิตที่ลดลง เกษตรกรจะมีรายได้ที่มั่นคงขึ้น และประเทศมีความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว
- ลดการใช้สารเคมีและผลกระทบต่อสุขภาพ: การใช้ชีวภัณฑ์ทดแทนสารเคมี ช่วยลดความเสี่ยงต่อสุขภาพของเกษตรกร ผู้บริโภค และลดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อม
- รักษาสิ่งแวดล้อมและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ: การทำเกษตรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ช่วยฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของดิน ลดปัญหาน้ำเสีย และรักษาระบบนิเวศทางเกษตรให้ยั่งยืน
- สร้างมูลค่าเพิ่มและขีดความสามารถในการแข่งขัน: สินค้าเกษตรที่มีคุณสมบัติพิเศษ หรือผลิตด้วยกระบวนการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จะเป็นที่ต้องการของตลาดโลก สร้างโอกาสในการส่งออกและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ
- รับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ: การพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ที่ทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่รุนแรง ช่วยให้ภาคเกษตรมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวต่อวิกฤตได้ดีขึ้น
- ยกระดับงานวิจัยและพัฒนาของประเทศ: การลงทุนในเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรเป็นการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวิทยาศาสตร์พื้นฐานและประยุกต์ สร้างบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และยกระดับขีดความสามารถทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ
- สอดรับกับนโยบาย BCG Economy: เทคโนโลยีชีวภาพเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทย

ความท้าทายในการนำเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรมาประยุกต์ใช้ในไทย
แม้จะมีศักยภาพมหาศาล แต่การนำเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรมาประยุกต์ใช้ในประเทศไทยยังคงเผชิญกับอุปสรรคสำคัญ
อุปสรรคที่ต้องร่วมกันแก้ไขเพื่อการขยายผล เทคโนโลยีชีวภาพเกษตรไทย
- เงินทุนและการวิจัยและพัฒนา: การวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ โดยเฉพาะเทคโนโลยีขั้นสูง ต้องการเงินลงทุนสูงและใช้ระยะเวลานาน ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับสถาบันวิจัยและบริษัทขนาดเล็ก
- กฎระเบียบและการรับรอง: การออกกฎหมาย กฎระเบียบ และกระบวนการขออนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการวิจัย การทดสอบ และการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ชีวภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพืช GMOs หรือผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อาจยังไม่ชัดเจน หรือใช้เวลานาน ทำให้เกิดความล่าช้าในการนำไปใช้
- การถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่เกษตรกร: การนำองค์ความรู้และเทคโนโลยีที่ซับซ้อนไปถ่ายทอดให้เกษตรกรเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้จริงเป็นความท้าทาย เนื่องจากเกษตรกรบางส่วนยังขาดความรู้พื้นฐาน หรือมีข้อจำกัดด้านปัจจัยการผลิต
- การยอมรับจากสังคมและผู้บริโภค: ประเด็นเกี่ยวกับความปลอดภัยและจริยธรรมของเทคโนโลยีชีวภาพบางประเภท โดยเฉพาะพืช GMOs ยังคงเป็นข้อถกเถียงและอาจส่งผลต่อการยอมรับของผู้บริโภค
- การขาดแคลนบุคลากรผู้เชี่ยวชาญ: ประเทศไทยยังขาดแคลนนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ และผู้ปฏิบัติงานที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านในสาขาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรอย่างเพียงพอ
- โครงสร้างพื้นฐานและห้องปฏิบัติการ: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย และอุปกรณ์ที่มีความซับซ้อนยังคงเป็นความท้าทายสำหรับหลายหน่วยงาน
- การตลาดและการสร้างมูลค่าเพิ่ม: แม้จะมีผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ดี แต่การเข้าถึงตลาด การสร้างช่องทางการจำหน่าย และการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพัฒนา
- การคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา: การขาดกลไกที่มีประสิทธิภาพในการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของงานวิจัย อาจลดแรงจูงใจในการลงทุนวิจัยและพัฒนา

แนวโน้มและโอกาสในอนาคตของเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรในไทย
แม้จะมีความท้าทาย แต่เทคโนโลยีชีวภาพเกษตรในประเทศไทยมีแนวโน้มและโอกาสที่สดใสในการพัฒนาต่อไปในอนาคต
ขับเคลื่อนด้วยนโยบายที่แข็งแกร่ง และวิทยาการที่ก้าวหน้า
- นโยบายภาครัฐที่สนับสนุน: รัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับ โมเดลเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green Economy) ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดยเทคโนโลยีชีวภาพเป็นหนึ่งในกลไกสำคัญในการขับเคลื่อน ทำให้มีการสนับสนุนงบประมาณและโครงการวิจัยมากขึ้น
- ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการตัดต่อยีน (Gene Editing/CRISPR): เทคโนโลยีนี้มีความแม่นยำสูง รวดเร็ว และไม่มีการนำยีนจากต่างชนิดเข้ามา ซึ่งอาจได้รับการยอมรับจากสังคมและผู้บริโภคได้ง่ายกว่า GMO แบบดั้งเดิม เปิดโอกาสในการปรับปรุงพันธุ์พืชและสัตว์ได้อย่างก้าวกระโดด
- การพัฒนาชีวภัณฑ์ที่หลากหลายและมีประสิทธิภาพสูง: การวิจัยและพัฒนาชีวภัณฑ์รุ่นใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการควบคุมโรคและแมลงได้ดีขึ้น สามารถเก็บรักษาได้นานขึ้น และใช้งานง่ายขึ้น จะเข้ามาทดแทนสารเคมีได้อย่างสมบูรณ์แบบ
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีชีวภาพในเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming): การบูรณาการข้อมูลจากเทคโนโลยีชีวภาพ (เช่น ชุดตรวจโรค) เข้ากับระบบเกษตรอัจฉริยะ (IoT, AI) เพื่อให้การวินิจฉัยและจัดการปัญหาในฟาร์มมีความแม่นยำและตอบสนองได้แบบเรียลไทม์
- การลงทุนจากภาคเอกชนและต่างประเทศ: บริษัทเอกชนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศเริ่มหันมาลงทุนในเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรมากขึ้น เนื่องจากเห็นถึงศักยภาพในการเติบโตและผลตอบแทนที่ยั่งยืน
- ความตระหนักรู้ของผู้บริโภคเรื่องความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม: ผู้บริโภคทั่วโลกให้ความสำคัญกับสินค้าที่ผลิตอย่างยั่งยืน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญให้เกษตรกรหันมาใช้เทคโนโลยีชีวภาพมากขึ้น
- การสร้างเครือข่ายความร่วมมือวิจัย: การส่งเสริมความร่วมมือระหว่างสถาบันวิจัย มหาวิทยาลัย ภาครัฐ และภาคเอกชน ทั้งในและต่างประเทศ จะช่วยเร่งการวิจัย พัฒนา และนำเทคโนโลยีชีวภาพไปสู่การประยุกต์ใช้จริง

สรุปบทความ
เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร คือพลังขับเคลื่อนสำคัญที่จะนำพาภาคเกษตรกรรมไทยก้าวข้ามความท้าทายในปัจจุบันและสร้างอนาคตที่ยั่งยืน บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของเทคโนโลยีชีวภาพในการพัฒนาพันธุ์พืชและสัตว์ที่แข็งแกร่ง การผลิตชีวภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การวินิจฉัยโรคที่รวดเร็ว และการเพิ่มมูลค่าให้กับผลผลิต ซึ่งล้วนมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และรักษาสิ่งแวดล้อม
แม้ว่าการนำเทคโนโลยีชีวภาพมาประยุกต์ใช้จะเผชิญกับความท้าทายสำคัญ เช่น เงินทุนวิจัย กฎระเบียบ การถ่ายทอดสู่เกษตรกร และการยอมรับจากสังคม แต่ด้วยนโยบายภาครัฐที่สนับสนุนอย่างแข็งแกร่ง (BCG Model) ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการตัดต่อยีน และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ในการขับเคลื่อนเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรในประเทศไทยให้เติบโตอย่างก้าวกระโดด
การลงทุนอย่างต่อเนื่องในการวิจัยและพัฒนา การปรับปรุงกฎระเบียบให้เอื้อต่อการพัฒนาและนำไปใช้ การถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เข้าใจง่ายให้แก่เกษตรกร และการสร้างความเข้าใจแก่ผู้บริโภค จะเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร เพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหาร ยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกร และนำพาประเทศไทยสู่ความเป็นผู้นำด้านเกษตรชีวภาพอย่างแท้จริง
คุณคิดว่าการพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพเกษตรประเภทใดที่ประเทศไทยควรให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก เพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกที่ชัดเจนที่สุดต่อเกษตรกรรายย่อยและสิ่งแวดล้อม?