งานวิจัยเกษตรชุมชน ในบริบทของการพัฒนาภาคเกษตรกรรมที่ยั่งยืนและตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง “งานวิจัยเกษตรชุมชน (Community-Based Agricultural Research – CBAR)” ได้ก้าวขึ้นมาเป็นแนวทางที่สำคัญและทรงพลัง แตกต่างจากงานวิจัยเกษตรแบบดั้งเดิมที่มักดำเนินการโดยนักวิจัยในห้องปฏิบัติการหรือแปลงทดลองของมหาวิทยาลัย งานวิจัยเกษตรชุมชนให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงของเกษตรกรและสมาชิกในชุมชน ตั้งแต่การระบุปัญหา การวางแผนการวิจัย การดำเนินการทดลอง ไปจนถึงการวิเคราะห์ผลลัพธ์และการนำไปใช้ประโยชน์ แนวทางนี้เชื่อมั่นในภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสานเข้ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมและแนวทางปฏิบัติที่เหมาะสมกับบริบทเฉพาะของแต่ละชุมชนอย่างแท้จริง บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการและความสำคัญของงานวิจัยเกษตรชุมชน กระบวนการและองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินงานวิจัย รวมถึงประโยชน์ที่ได้รับจากการส่งเสริมงานวิจัยในรูปแบบนี้ เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งและความยั่งยืนของภาคเกษตรกรรมในระดับฐานราก

หลักการและความสำคัญของงานวิจัยเกษตรชุมชน
พลังแห่งการมีส่วนร่วม: สร้างสรรค์องค์ความรู้ที่ตอบโจทย์ชุมชนอย่างแท้จริง
งานวิจัยเกษตรชุมชน (CBAR) ตั้งอยู่บนหลักการพื้นฐานของการมีส่วนร่วม การเรียนรู้ร่วมกัน และการเคารพในภูมิปัญญาท้องถิ่น มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาภาคเกษตรกรรมด้วยเหตุผลดังนี้:
- 1.1 การระบุปัญหาและความต้องการที่แท้จริงของชุมชน: งานวิจัยเริ่มต้นจากปัญหาและความท้าทายที่เกษตรกรและชุมชนเผชิญอยู่จริง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผลผลิตตกต่ำ โรคระบาด การจัดการทรัพยากร หรือผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การมีส่วนร่วมของชุมชนตั้งแต่ขั้นตอนแรกทำให้มั่นใจได้ว่างานวิจัยจะตอบสนองต่อความต้องการที่แท้จริงและนำไปสู่การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด
- 1.2 การบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นและองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์: เกษตรกรและสมาชิกในชุมชนมีประสบการณ์และความรู้ที่สั่งสมมาจากการปฏิบัติจริงมายาวนาน ซึ่งเป็นข้อมูลที่มีคุณค่าและบริบทเฉพาะที่นักวิจัยจากภายนอกอาจไม่เข้าใจ งานวิจัยเกษตรชุมชนส่งเสริมการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาผสมผสานกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม มีประสิทธิภาพ และเป็นที่ยอมรับของชุมชน
- 1.3 การเสริมสร้างศักยภาพและความเข้มแข็งของชุมชน: กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วมช่วยพัฒนาทักษะและความรู้ให้กับเกษตรกรและสมาชิกในชุมชน ในด้านการสังเกต การทดลอง การเก็บข้อมูล และการวิเคราะห์ผลลัพธ์ ทำให้พวกเขามีความสามารถในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาการเกษตรด้วยตนเองในระยะยาว นอกจากนี้ การทำงานร่วมกันยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งและความสามัคคีในชุมชน
- 1.4 การสร้างความยั่งยืนทางการเกษตรและสิ่งแวดล้อม: งานวิจัยเกษตรชุมชนมักให้ความสำคัญกับการพัฒนาแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และการลดการพึ่งพาสารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งสอดคล้องกับหลักการของการเกษตรยั่งยืนและช่วยรักษาสภาพแวดล้อมของชุมชนในระยะยาว
- 1.5 การสร้างความเชื่อมั่นและการนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์: เมื่อชุมชนมีส่วนร่วมในกระบวนการวิจัยตั้งแต่ต้น พวกเขาจะมีความเข้าใจและเป็นเจ้าของผลงานวิจัย ทำให้เกิดความเชื่อมั่นและนำผลลัพธ์ที่ได้ไปปรับใช้ในการปฏิบัติจริงอย่างกว้างขวาง ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการสร้างการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
บทบาทของภาครัฐและภาคีเครือข่ายในการสนับสนุนงานวิจัยเกษตรชุมชน
เพื่อให้งานวิจัยเกษตรชุมชนสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน การสนับสนุนจากภาครัฐและภาคีเครือข่ายต่าง ๆ ถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะงานวิจัยรูปแบบนี้ต้องการการประสานงานและการลงทุนในหลายมิติ
- บทบาทของภาครัฐ:
- การกำหนดนโยบายและงบประมาณ: ภาครัฐควรมีนโยบายที่ชัดเจนในการสนับสนุนงานวิจัยเกษตรชุมชน โดยจัดสรรงบประมาณที่เพียงพอและยืดหยุ่น เพื่อให้การดำเนินงานวิจัยสามารถตอบสนองต่อบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้
- การสร้างกลไกและแพลตฟอร์ม: ควรมีการพัฒนากลไกที่อำนวยความสะดวกในการเชื่อมโยงนักวิจัยกับชุมชน จัดตั้งศูนย์กลางข้อมูลหรือแพลตฟอร์มสำหรับการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานวิจัยและภูมิปัญญาท้องถิ่น
- การพัฒนาศักยภาพบุคลากร: สนับสนุนการพัฒนาบุคลากรทั้งในภาครัฐและสถาบันการศึกษาให้มีความเข้าใจและทักษะในการทำงานวิจัยเกษตรชุมชน รวมถึงการเป็นพี่เลี้ยงและผู้อำนวยความสะดวกให้กับชุมชน
- การส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากผลงานวิจัย: ภาครัฐควรมีบทบาทในการผลักดันให้ผลงานวิจัยที่ประสบความสำเร็จในระดับชุมชนสามารถขยายผลไปสู่การปฏิบัติในวงกว้าง หรือนำไปต่อยอดเชิงพาณิชย์ เช่น การสนับสนุนช่องทางการตลาด หรือการรับรองมาตรฐาน
- บทบาทของสถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัย:
- การเป็นแหล่งองค์ความรู้และเทคนิค: สถาบันการศึกษาและหน่วยงานวิจัยเป็นแหล่งรวมผู้เชี่ยวชาญและองค์ความรู้ทางวิชาการ สามารถให้คำปรึกษา แนะนำเทคนิคการวิจัยที่ทันสมัย และช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ซับซ้อน
- การสร้างหลักสูตรและงานวิจัย: พัฒนาหลักสูตรที่เน้นการทำงานวิจัยแบบมีส่วนร่วมในชุมชน และส่งเสริมให้นักศึกษาทำวิจัยที่ตอบโจทย์ปัญหาของชุมชนจริง
- การเป็นผู้ประสานงาน: ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเชื่อมโยงระหว่างแหล่งทุน เกษตรกร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดความร่วมมือที่มีประสิทธิภาพ
- บทบาทของภาคเอกชน:
- การลงทุนและการสนับสนุน: ภาคเอกชนสามารถเข้ามาลงทุนหรืองบประมาณสนับสนุนงานวิจัยเกษตรชุมชน โดยเฉพาะงานวิจัยที่อาจนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ ๆ ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและตอบโจทย์ตลาด
- การรับซื้อและสร้างตลาด: สร้างช่องทางการตลาดที่มั่นคงสำหรับผลผลิตที่ได้จากการทำเกษตรตามผลงานวิจัยชุมชน ซึ่งมักเป็นผลผลิตที่ปลอดภัยและมีคุณภาพสูง สร้างแรงจูงใจให้เกษตรกรหันมาใช้แนวทางที่ยั่งยืน
- การถ่ายทอดเทคโนโลยี: บริษัทเอกชนที่มีเทคโนโลยีที่เหมาะสมสามารถเข้ามาช่วยถ่ายทอดให้กับชุมชน เพื่อให้การวิจัยและการผลิตมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
- บทบาทขององค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) และภาคประชาสังคม:
- การเป็นตัวกลางและผู้เชื่อมประสาน: องค์กรพัฒนาเอกชนมักมีความใกล้ชิดกับชุมชนและมีความเข้าใจในบริบทท้องถิ่น สามารถทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการประสานงานระหว่างนักวิจัยกับชุมชน และเป็นผู้สนับสนุนการสร้างความเข้มแข็งของชุมชน
- การส่งเสริมการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยน: จัดเวที กิจกรรม หรืออบรม เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างเกษตรกรและชุมชนต่าง ๆ ที่ทำงานวิจัยเกษตรชุมชน
- การสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบาย: มีบทบาทในการผลักดันให้ภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญและสนับสนุนงานวิจัยเกษตรชุมชนอย่างต่อเนื่อง

กระบวนการและองค์ประกอบสำคัญในการดำเนินงานวิจัยเกษตรชุมชน
จากปัญหา สู่การปฏิบัติ: ขั้นตอนและปัจจัยสู่ความสำเร็จ
การดำเนินงานวิจัยเกษตรชุมชนมีกระบวนการที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมและการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีองค์ประกอบสำคัญดังนี้:
- 2.1 การสร้างความเข้าใจและไว้วางใจกับชุมชน: นักวิจัยต้องสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับชุมชน ทำความเข้าใจบริบททางสังคม วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของชุมชน การสื่อสารอย่างเปิดเผยและจริงใจ การรับฟังความคิดเห็น และการเคารพในภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและการมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง
- 2.2 การระบุปัญหาและความต้องการของชุมชนโดยการมีส่วนร่วม: จัดกิจกรรมหรือกระบวนการที่เปิดโอกาสให้เกษตรกรและสมาชิกในชุมชนได้ร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาและความท้าทายที่พวกเขาเผชิญในการทำการเกษตร และร่วมกันกำหนดประเด็นหรือคำถามวิจัยที่ชุมชนต้องการหาคำตอบ
- 2.3 การวางแผนการวิจัยร่วมกัน: นักวิจัยทำงานร่วมกับชุมชนในการออกแบบแผนการวิจัย กำหนดวิธีการทดลอง เลือกตัวแปรที่เกี่ยวข้อง และระบุบทบาทและความรับผิดชอบของแต่ละฝ่ายอย่างชัดเจน การวางแผนร่วมกันทำให้มั่นใจว่าวิธีการวิจัยมีความเหมาะสมกับบริบทของชุมชนและสามารถปฏิบัติได้จริง
- 2.4 การดำเนินการวิจัยในแปลงของเกษตรกร: งานวิจัยเกษตรชุมชนส่วนใหญ่มักดำเนินการในแปลงของเกษตรกรเอง โดยมีเกษตรกรเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการทดลอง เก็บข้อมูล และสังเกตผลลัพธ์ นักวิจัยมีหน้าที่ให้คำแนะนำ สนับสนุนด้านเทคนิค และอำนวยความสะดวกในกระบวนการวิจัย
- 2.5 การเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน: เกษตรกรและนักวิจัยร่วมกันเก็บรวบรวมข้อมูลจากการทดลองและสังเกตการณ์ จากนั้นร่วมกันวิเคราะห์และตีความผลลัพธ์ โดยอาจมีการใช้สถิติอย่างง่ายหรือการวิเคราะห์เชิงคุณภาพตามความเหมาะสม การมีส่วนร่วมในการวิเคราะห์ข้อมูลช่วยให้ชุมชนเข้าใจผลลัพธ์และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้
- 2.6 การเผยแพร่และแบ่งปันผลการวิจัยในชุมชน: ผลลัพธ์และบทเรียนที่ได้จากการวิจัยจะถูกนำมาเผยแพร่และแบ่งปันในชุมชนผ่านช่องทางต่างๆ ที่ชุมชนคุ้นเคย เช่น การประชุมกลุ่ม การจัดเวทีแลกเปลี่ยน การทำเอกสารเผยแพร่ หรือการสาธิตในแปลง การเผยแพร่ในวงกว้างช่วยให้เกิดการเรียนรู้และนำไปปฏิบัติในระดับที่กว้างขึ้น
- 2.7 การประเมินผลและปรับปรุงกระบวนการวิจัย: มีการประเมินผลของงานวิจัยและกระบวนการทำงานอย่างสม่ำเสมอ โดยรับฟังความคิดเห็นจากชุมชนเพื่อนำมาปรับปรุงแผนการวิจัยและวิธีการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในระยะยาว
ความท้าทายและแนวโน้มในอนาคตของงานวิจัยเกษตรชุมชนในประเทศไทย
ก้าวต่อไป: อุปสรรคที่ต้องแก้ไข และโอกาสที่ต้องคว้าไว้
แม้ว่างานวิจัยเกษตรชุมชนจะมีศักยภาพสูง แต่การดำเนินงานในประเทศไทยยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการ ขณะเดียวกันก็มีแนวโน้มและโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้น:
- ความท้าทาย:
- การขาดแคลนงบประมาณและบุคลากร: งานวิจัยเกษตรชุมชนต้องการงบประมาณที่ยืดหยุ่นและบุคลากรที่มีความเข้าใจในบริบทชุมชน ซึ่งบางครั้งหน่วยงานภาครัฐหรือสถาบันการศึกษาอาจมีข้อจำกัด
- การสร้างความร่วมมือที่ยั่งยืน: การรักษาความต่อเนื่องของความร่วมมือระหว่างนักวิจัยกับชุมชน และระหว่างหน่วยงานต่างๆ อาจเป็นเรื่องท้าทาย โดยเฉพาะเมื่อโครงการสิ้นสุดลง
- การแปลงผลงานวิจัยสู่การปฏิบัติจริงในวงกว้าง: แม้ผลงานวิจัยจะสำเร็จในระดับชุมชนนำร่อง แต่การขยายผลไปสู่ชุมชนอื่นๆ หรือการส่งเสริมให้เกษตรกรส่วนใหญ่ adopt แนวทางใหม่ๆ ยังคงต้องใช้กลไกและปัจจัยสนับสนุนที่เหมาะสม
- การประเมินผลกระทบที่ซับซ้อน: การประเมินผลลัพธ์และผลกระทบของงานวิจัยเกษตรชุมชนที่ครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างรอบด้าน อาจมีความซับซ้อนและใช้เวลานาน
- การจัดการความคาดหวังของชุมชน: นักวิจัยต้องสามารถบริหารจัดการความคาดหวังของชุมชนในกระบวนการวิจัยและผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างเหมาะสม
- การขาดฐานข้อมูลและแพลตฟอร์มการเรียนรู้ร่วม: ยังขาดระบบฐานข้อมูลและแพลตฟอร์มกลางที่รวบรวมองค์ความรู้จากงานวิจัยเกษตรชุมชนในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้และต่อยอดได้ง่ายขึ้น
- แนวโน้มและโอกาสในอนาคต:
- การใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและข้อมูลขนาดใหญ่: การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น แอปพลิเคชันบนมือถือ เซ็นเซอร์ หรือโดรน สามารถช่วยในการเก็บข้อมูล ประมวลผล และถ่ายทอดองค์ความรู้ในงานวิจัยเกษตรชุมชนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
- การส่งเสริมเกษตรกรอัจฉริยะ (Smart Farmers): การพัฒนาทักษะของเกษตรกรให้สามารถใช้เทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูลได้เอง จะช่วยให้พวกเขามีบทบาทสำคัญในงานวิจัยเกษตรชุมชนมากยิ่งขึ้น
- การบูรณาการกับนโยบายภาครัฐ (BCG Model): นโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวของภาครัฐ เป็นโอกาสสำคัญในการผลักดันและสนับสนุนงานวิจัยเกษตรชุมชนให้ได้รับการสนับสนุนทั้งด้านงบประมาณและนโยบาย
- การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระดับประเทศและนานาชาติ: การเชื่อมโยงเครือข่ายงานวิจัยเกษตรชุมชนในประเทศไทย และการสร้างความร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศ จะช่วยแลกเปลี่ยนเรียนรู้และดึงดูดทรัพยากรเพื่อการพัฒนา
- การพัฒนาโมเดลธุรกิจที่ยั่งยืนจากผลงานวิจัย: การนำผลงานวิจัยไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน จะเป็นแรงจูงใจและพิสูจน์คุณค่าของงานวิจัยเกษตรชุมชน

ประโยชน์ของการส่งเสริมงานวิจัยเกษตรชุมชนต่อภาคเกษตรไทย
เติบโตจากฐานราก: ผลลัพธ์ที่ยั่งยืนและตอบโจทย์
การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิจัยเกษตรชุมชนอย่างจริงจังจะนำมาซึ่งประโยชน์ที่สำคัญและยั่งยืนต่อภาคเกษตรกรรมของประเทศไทยในหลายด้าน:
- 3.1 การสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่เหมาะสมกับบริบทท้องถิ่น: งานวิจัยที่เกิดจากความต้องการและดำเนินการโดยชุมชนเอง จะสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรมที่สอดคล้องกับสภาพแวดล้อม ทรัพยากร และความต้องการเฉพาะของแต่ละพื้นที่ ซึ่งอาจแตกต่างจากองค์ความรู้ที่ได้จากงานวิจัยในห้องปฏิบัติการเพียงอย่างเดียว
- 3.2 การเสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองของเกษตรกรและชุมชน: กระบวนการวิจัยแบบมีส่วนร่วมช่วยให้เกษตรกรพัฒนาทักษะในการสังเกต วิเคราะห์ และแก้ไขปัญหาด้วยตนเอง ลดการพึ่งพาองค์ความรู้และเทคโนโลยีจากภายนอกเพียงอย่างเดียว และสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชนในการจัดการทรัพยากรและการพัฒนาการเกษตรของตนเอง
- 3.3 การส่งเสริมการนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ไปใช้ในวงกว้าง: เมื่อเกษตรกรมีส่วนร่วมในการวิจัยและเห็นผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจริงในแปลงของตนเอง พวกเขาจะมีความเชื่อมั่นและนำแนวทางปฏิบัติที่ได้ไปปรับใช้ในการทำการเกษตรของตนเอง และยังเป็นผู้นำในการถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับเกษตรกรรายอื่นๆ ในชุมชน ทำให้เกิดการขยายผลในวงกว้าง
- 3.4 การอนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น: งานวิจัยเกษตรชุมชนให้ความสำคัญกับการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ร่วมกับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เป็นการอนุรักษ์และพัฒนาภูมิปัญญาดั้งเดิมให้สามารถปรับตัวเข้ากับยุคสมัยและยังคงมีคุณค่าในการพัฒนาการเกษตรที่ยั่งยืน
- 3.5 การสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายเกษตรกรและชุมชน: กระบวนการทำงานวิจัยร่วมกันเป็นการสร้างความสัมพันธ์และความร่วมมือระหว่างเกษตรกร นักวิจัย และหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เกิดเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็งและสามารถร่วมกันพัฒนาภาคเกษตรกรรมในระยะยาว
- 3.6 การส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม: งานวิจัยเกษตรชุมชนมักมุ่งเน้นการพัฒนาแนวทางการทำเกษตรที่ไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ลดการใช้สารเคมี และรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งเป็นการส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในระดับฐานราก
- 3.7 การตอบสนองต่อความท้าทายเฉพาะพื้นที่: เนื่องจากงานวิจัยเริ่มต้นจากปัญหาและความต้องการของชุมชน ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้สามารถตอบสนองต่อความท้าทายและบริบทเฉพาะของแต่ละพื้นที่ได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิภาพ
สรุปบทความ
งานวิจัยเกษตรชุมชน (CBAR) เป็นแนวทางการวิจัยที่ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมของเกษตรกรและชุมชนตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการ โดยมีหลักการสำคัญคือการบูรณาการภูมิปัญญาท้องถิ่นเข้ากับองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสร้างสรรค์องค์ความรู้และนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการและบริบทเฉพาะของแต่ละชุมชนอย่างแท้จริง กระบวนการดำเนินงานวิจัยเน้นการสร้างความเข้าใจ การระบุปัญหาร่วมกัน การวางแผนและการดำเนินการวิจัยในแปลงของเกษตรกร การวิเคราะห์ข้อมูลร่วมกัน และการเผยแพร่ผลลัพธ์ในชุมชน
การส่งเสริมงานวิจัยเกษตรชุมชนมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อภาคเกษตรไทย โดยช่วยสร้างองค์ความรู้ที่เหมาะสม เสริมสร้างความสามารถในการพึ่งพาตนเองของเกษตรกร ส่งเสริมการนำองค์ความรู้ไปใช้ในวงกว้าง อนุรักษ์และต่อยอดภูมิปัญญาท้องถิ่น สร้างความเข้มแข็งของเครือข่าย และส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การสนับสนุนและส่งเสริมงานวิจัยในรูปแบบนี้จึงเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเข้มแข็ง และความยั่งยืนให้กับภาคเกษตรกรรมในระดับฐานรากอย่างแท้จริง