การใช้จุลินทรีย์ในเกษตร ในยุคที่ภาคเกษตรกรรมทั่วโลกกำลังมองหาทางออกจากการพึ่งพาสารเคมีสังเคราะห์ที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สุขภาพ และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น “จุลินทรีย์” สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญและเป็นความหวังใหม่ในการขับเคลื่อนภาคเกษตรกรรมไปสู่ความยั่งยืน จุลินทรีย์หลากหลายชนิด ทั้งแบคทีเรีย เชื้อรา และสาหร่าย สามารถทำงานร่วมกับพืชและดินได้อย่างมหัศจรรย์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืช ฟื้นฟูสภาพดินที่เสื่อมโทรม และสร้างความปลอดภัยให้กับผลผลิต การนำจุลินทรีย์มาประยุกต์ใช้ในเกษตรจึงไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็นวิทยาการที่ได้รับการพิสูจน์และมีศักยภาพสูงในการปฏิวัติการทำเกษตรให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างรายได้ที่มั่นคง บทความนี้จะเจาะลึกถึงหลักการทำงานและบทบาทของจุลินทรีย์ในภาคเกษตร ประเภทและตัวอย่างของจุลินทรีย์ที่นิยมใช้ พร้อมด้วยประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้จุลินทรีย์ในเกษตรไทย รวมถึงสรุปภาพรวมเพื่อเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการส่งเสริมและสนับสนุนการใช้จุลินทรีย์อย่างแพร่หลาย

หลักการทำงานและบทบาทของจุลินทรีย์ในภาคเกษตร
สิ่งมีชีวิตจิ๋ว: ผู้ช่วยอัจฉริยะใต้ดินและรอบตัวพืช
จุลินทรีย์ทำงานหลากหลายบทบาทในระบบนิเวศเกษตร โดยหลักการทำงานพื้นฐานเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมีและปฏิสัมพันธ์กับพืชและสิ่งแวดล้อม มีบทบาทสำคัญดังนี้:
- 1.1 การส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช (Plant Growth Promotion):
- เนื้อหา: จุลินทรีย์บางชนิดสามารถผลิตสารส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช (เช่น ออกซิน จิบเบอเรลลิน ไซโตไคนิน) ซึ่งช่วยกระตุ้นการแตกราก การงอกของเมล็ด และการพัฒนาของลำต้นและใบ ทำให้พืชแข็งแรงและเจริญเติบโตได้ดีขึ้น
- บทบาทสำคัญ: เพิ่มความสามารถในการดูดซึมธาตุอาหารและน้ำของพืช
- 1.2 การละลายและตรึงธาตุอาหาร (Nutrient Solubilization & Fixation):
- เนื้อหา: ดินมีธาตุอาหารจำนวนมากที่พืชไม่สามารถดูดซึมไปใช้ได้โดยตรง จุลินทรีย์บางชนิดมีความสามารถในการเปลี่ยนรูปธาตุอาหารเหล่านี้ให้อยู่ในรูปที่พืชดูดซึมได้ง่ายขึ้น เช่น การละลายฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมที่จับกับอนุภาคดิน นอกจากนี้ จุลินทรีย์บางชนิดยังสามารถตรึงไนโตรเจนจากอากาศมาเปลี่ยนเป็นสารประกอบที่พืชนำไปใช้ได้ ซึ่งเป็นกระบวนการสำคัญในการลดการใช้ปุ๋ยเคมีไนโตรเจน
- บทบาทสำคัญ: เพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินโดยธรรมชาติ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี
- 1.3 การควบคุมโรคและศัตรูพืช (Pest & Disease Control):
- เนื้อหา: จุลินทรีย์บางชนิดมีคุณสมบัติเป็นศัตรูธรรมชาติของเชื้อโรคพืชและแมลงศัตรูพืช โดยอาจผลิตสารปฏิชีวนะ ย่อยสลายผนังเซลล์ของเชื้อโรค แย่งชิงพื้นที่/อาหาร หรือเข้าทำลายศัตรูพืชโดยตรง ทำให้พืชมีภูมิคุ้มกันและสามารถป้องกันตัวเองจากเชื้อโรคและแมลงได้ดีขึ้น
- บทบาทสำคัญ: ทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช ลดการปนเปื้อนในผลผลิตและสิ่งแวดล้อม
- 1.4 การปรับปรุงโครงสร้างดินและฟื้นฟูดินเสื่อมโทรม (Soil Structure Improvement & Rehabilitation):
- เนื้อหา: จุลินทรีย์ช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุในดิน ทำให้เกิดการสร้างสารอินทรีย์ที่ช่วยปรับปรุงโครงสร้างของดินให้ร่วนซุย ระบายน้ำได้ดีขึ้น และเพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำและธาตุอาหาร นอกจากนี้ยังช่วยฟื้นฟูดินที่เสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมี
- บทบาทสำคัญ: สร้างสุขภาพดินที่ดีในระยะยาว เพิ่มความยั่งยืนของระบบนิเวศเกษตร

ประเภทและตัวอย่างจุลินทรีย์ที่นิยมใช้ในเกษตรไทย
หลากหลายสายพันธุ์ เพื่อหลากหลายวัตถุประสงค์
จุลินทรีย์ที่นำมาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับบทบาทและคุณสมบัติเฉพาะ โดยตัวอย่างที่นิยมใช้ในประเทศไทย ได้แก่:
- 2.1 จุลินทรีย์ส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช (Plant Growth Promoting Microbes – PGPMs):
- เนื้อหา: เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่บริเวณรากพืชหรือในดิน สามารถส่งเสริมการดูดซึมธาตุอาหารและกระตุ้นการเติบโตของพืชโดยตรง
- ตัวอย่าง:
- แบคทีเรียตรึงไนโตรเจน (Nitrogen-fixing bacteria): เช่น Rhizobium (อาศัยอยู่ในปมรากพืชตระกูลถั่ว) และ Azotobacter, Azospirillum (อาศัยอิสระในดิน) ทำหน้าที่เปลี่ยนก๊าซไนโตรเจนในอากาศให้เป็นแอมโมเนียที่พืชนำไปใช้ได้
- แบคทีเรียละลายฟอสเฟต (Phosphate-solubilizing bacteria – PSB): เช่น Bacillus megaterium, Pseudomonas fluorescens ทำหน้าที่ผลิตกรดอินทรีย์ละลายฟอสเฟตที่จับกับอนุภาคดินให้พืชนำไปใช้ได้
- เชื้อราไมคอร์ไรซา (Mycorrhizal fungi): เป็นเชื้อราที่สร้างความสัมพันธ์แบบพึ่งพากับรากพืช ช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดซึมน้ำและธาตุอาหาร (โดยเฉพาะฟอสฟอรัส) จากดินได้กว้างขวางขึ้น
- 2.2 จุลินทรีย์ควบคุมโรคพืช (Biocontrol Agents for Plant Diseases):
- เนื้อหา: เป็นจุลินทรีย์ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตหรือทำลายเชื้อโรคพืชได้โดยกลไกต่างๆ
- ตัวอย่าง:
- เชื้อราไตรโคเดอร์มา (Trichoderma harzianum): เป็นเชื้อราปฏิปักษ์ที่สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราสาเหตุโรคพืชหลายชนิด เช่น โรคโคนเน่า รากเน่า โรคเหี่ยว โดยการเข้าทำลายเชื้อโรค แย่งอาหาร หรือสร้างสารปฏิชีวนะ
- แบคทีเรียบาซิลลัส ซับทีลิส (Bacillus subtilis): ผลิตสารปฏิชีวนะและสร้างฟิล์มชีวภาพบริเวณรากพืช เพื่อป้องกันการเข้าทำลายของเชื้อโรคในดิน และยังส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืชได้ด้วย
- เชื้อราที่เข้าทำลายไส้เดือนฝอยศัตรูพืช: เช่น Paecilomyces lilacinus (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น Purpureocillium lilacinum) สามารถเข้าทำลายไข่หรือตัวอ่อนของไส้เดือนฝอยศัตรูพืชในดิน
- 2.3 จุลินทรีย์ควบคุมแมลงศัตรูพืช (Biocontrol Agents for Insect Pests):
- เนื้อหา: เป็นจุลินทรีย์ที่ก่อโรคในแมลงศัตรูพืช ทำให้แมลงป่วยและตาย หรือยับยั้งการเจริญเติบโตของแมลง
- ตัวอย่าง:
- เชื้อแบคทีเรียบาซิลลัส ทูริงเยนซิส (Bacillus thuringiensis – Bt): เป็นแบคทีเรียที่ผลิตโปรตีนที่เป็นพิษต่อหนอนผีเสื้อศัตรูพืช เมื่อหนอนกินเข้าไป โปรตีนจะทำลายระบบทางเดินอาหาร ทำให้หนอนหยุดกินและตาย
- เชื้อราเมธาไรเซียม (Metarhizium anisopliae) และเชื้อราบิวเวอเรีย (Beauveria bassiana): เป็นเชื้อราที่เข้าทำลายแมลงโดยการงอกสปอร์ทะลุผ่านผนังลำตัวแมลงเข้าไปในตัวแมลง ทำให้แมลงป่วยและตาย (มักใช้ควบคุมแมลงปากดูด เช่น เพลี้ย จักจั่น)
- เชื้อไวรัสก่อโรคในแมลง (Insect Pathogenic Viruses – NPV): เช่น เชื้อไวรัส NPV ในหนอนกระทู้หอม สามารถทำให้หนอนป่วยและตายได้
- 2.4 จุลินทรีย์กลุ่มอื่นๆ ที่สำคัญ:
- กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ (Effective Microorganisms – EM): เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ผสมผสานหลายชนิด (เช่น แบคทีเรียสังเคราะห์แสง แลกติกแอซิดแบคทีเรีย ยีสต์) ที่เชื่อว่าช่วยปรับปรุงสภาพดิน เพิ่มการย่อยสลายอินทรียวัตถุ และลดกลิ่นเหม็นในฟาร์ม
- จุลินทรีย์ย่อยสลายสารอินทรีย์: เช่น กลุ่มแบคทีเรียและเชื้อราที่ช่วยย่อยสลายซากพืช ซากสัตว์ ให้กลายเป็นปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยอินทรีย์

ประโยชน์ของการใช้จุลินทรีย์ในเกษตรต่อประเทศไทย
เกษตรไทยไร้สาร: สู่ความมั่นคงที่ยั่งยืน
การนำจุลินทรีย์มาประยุกต์ใช้ในภาคเกษตรกรรมอย่างแพร่หลายจะนำมาซึ่งประโยชน์ที่ครอบคลุมและยั่งยืนต่อประเทศไทยในหลายมิติ:
- 3.1 ลดการพึ่งพาสารเคมีและต้นทุนการผลิต: การใช้ปุ๋ยชีวภาพและชีวภัณฑ์ช่วยลดการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีกำจัดศัตรูพืช ซึ่งไม่เพียงแต่ลดต้นทุนของเกษตรกร แต่ยังช่วยลดภาระการนำเข้าสารเคมีจากต่างประเทศ
- สร้างอาหารปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสุขภาพ: ผลผลิตที่ได้จากการใช้จุลินทรีย์จะปราศจากสารเคมีตกค้าง ทำให้ผู้บริโภคมั่นใจในความปลอดภัย และเกษตรกรสัมผัสสารเคมีน้อยลง มีสุขภาพที่ดีขึ้น
- ฟื้นฟูและปรับปรุงสุขภาพดินในระยะยาว: จุลินทรีย์ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุ ปรับปรุงโครงสร้างดิน เพิ่มการหมุนเวียนธาตุอาหาร ทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์และมีชีวิตชีวา ลดปัญหาดินเสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมีและปุ๋ยเคมีอย่างต่อเนื่อง
- อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและลดมลพิษ: การลดการใช้สารเคมีช่วยลดการปนเปื้อนในแหล่งน้ำ ดิน และอากาศ รักษาสมดุลของระบบนิเวศ โดยเฉพาะศัตรูธรรมชาติของแมลงและเชื้อโรคพืช
- เพิ่มผลผลิตและคุณภาพของสินค้าเกษตร: พืชที่แข็งแรงจากการได้รับธาตุอาหารอย่างเพียงพอและมีการป้องกันโรค/แมลงด้วยวิธีธรรมชาติ มักให้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี มีภูมิต้านทาน และเป็นที่ต้องการของตลาด
- สร้างความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม: การพึ่งพากลไกทางธรรมชาติช่วยให้เกษตรกรสามารถทำเกษตรได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว ลดความผันผวนจากราคาปัจจัยการผลิต และสร้างรายได้ที่มั่นคง
- สนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจ BCG: การใช้จุลินทรีย์สอดคล้องกับแนวคิดเศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) ที่เน้นการใช้ทรัพยากรชีวภาพเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ที่เน้นความยั่งยืนและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
สรุปบทความ
การใช้จุลินทรีย์ในเกษตร คือการนำพลังของสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมาสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญให้กับภาคเกษตรกรรมของประเทศไทย บทความนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงหลักการทำงานอันหลากหลายของจุลินทรีย์ ตั้งแต่การส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช การละลายและตรึงธาตุอาหาร การควบคุมโรคและศัตรูพืช ไปจนถึงการปรับปรุงโครงสร้างและฟื้นฟูดิน ซึ่งล้วนเป็นบทบาทที่สำคัญยิ่งในการทำเกษตรกรรมที่ยั่งยืน
จุลินทรีย์หลากหลายประเภท เช่น แบคทีเรียตรึงไนโตรเจน แบคทีเรียละลายฟอสเฟต เชื้อราไมคอร์ไรซา ชีวภัณฑ์ควบคุมโรคพืชอย่างเชื้อราไตรโคเดอร์มา และชีวภัณฑ์ควบคุมแมลงอย่างเชื้อบาซิลลัส ทูริงเยนซิส ล้วนเป็นเครื่องมืออันทรงประสิทธิภาพที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในไร่นาของเกษตรกรไทย
การนำจุลินทรีย์มาใช้ในเกษตรจะนำมาซึ่งประโยชน์มหาศาลต่อประเทศไทย ทั้งการลดการพึ่งพาสารเคมีและต้นทุนการผลิต การสร้างอาหารที่ปลอดภัย การฟื้นฟูและปรับปรุงสุขภาพดิน การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพของสินค้าเกษตร ซึ่งทั้งหมดนี้จะนำไปสู่การสร้างความยั่งยืนในอาชีพเกษตรกรรม และสนับสนุนการพัฒนาประเทศตามแนวทางเศรษฐกิจ BCG
ดังนั้น การส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา การผลิตจุลินทรีย์เกษตรที่มีคุณภาพ การถ่ายทอดองค์ความรู้และเทคนิคการใช้จุลินทรีย์ที่ถูกต้องให้แก่เกษตรกรอย่างทั่วถึง และการสร้างเครือข่ายความร่วมมือจากทุกภาคส่วน จึงเป็นกุญแจสำคัญในการปลดล็อกศักยภาพของจุลินทรีย์ เพื่อขับเคลื่อนภาคเกษตรไทยให้เติบโตอย่างยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และมั่นคงทางอาหารในอนาคต